ยามนี้เวลานี้ คุยกับใคร ก็มีแต่บ่นครับ เศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายตก ลูกค้าหาย ฯลฯ
ไปออกกำลังกายคุยกับเทรนเนอร์ เทรนเนอร์บอกว่าลูกค้าหายไปกว่า 40% คุยกับแม่ค้าขายขนมหน้าปากซอย ก็เจอแม่ค้าบ่นต่ออีก ลูกค้าหายไปเกินครึ่ง น่าจะเพราะโดนคนขายขนมออนไลน์แย่งลูกค้าไป
ผมได้แต่พูดในใจ ว่าวันก่อนเพิ่งจะมีคนขายของออนไลน์มาปรึกษาผมเอง ว่ายอดขายตก ทำอย่างไรดี ??
สรุปเป็นว่า คนทำธุรกิจ บ่นกันทั่วหน้า จะออนไลน์ออฟไลน์ก็ไม่มีข้อยกเว้นครับ ขนาดมาม่า ยังยอดขายตก จนหลายคนแอบมึน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทยกันแน่ ?
แต่บ่นไปก็เท่านั้นครับ ชีวิตต้องสู้ต่อไป ดังนั้นวันนี้ โซวบักท้ง เลยถือโอกาส มานำเสนอกลยุทธ์ Digital Marketing ยามเศรษฐกิจตกสะเก็ดซ่ะเลย
ว่ากันเป็นข้อๆดังนี้ครับ
ตามทฤษฎีครับ ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่นั้น สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาลูกค้าเดิมถึง 3-5 เท่า ดังนั้นในยามที่เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ การจะไปวิ่งหาลูกค้าใหม่ ดูออกจะเป็นเรื่องยาก เราน่าจะหันมาใส่ใจกับลูกค้าเดิม หรือ ลูกค้าเก่า ที่เคยใช้สินค้าหรือบริการของเรามาก่อนแทน
คนไหนที่ทำ Digital Marketing มาสักหนึ่ง ก็น่าจะมีฐาน Database ลูกค้า เก็บไว้บ้าง อาจจะเป็น E-mail , เบอร์โทรศัพท์ , Line@ , ฯลฯ
ง่ายที่สุดเลย ก็เป็นการส่งอีเมล์ไปขายของ หรือ อาจจะเป็นลงโฆษณาบน Facebook แบบ Custom Audience คือ เอาอีเมล์ หรือ เบอร์โทรศัพท์ import เข้าไปในระบบโฆษณาของ Facebook โดยคนที่จะเห็นโฆษณาของเรา จะเป็นแค่คนที่เราระบุอีเมล์ หรือ เบอร์โทรศัพท์ เอาไว้เท่านั้น
สำหรับคนที่ทำ Digital Marketing แต่ไม่เคยเก็บสะสมฐานข้อมูลของลูกค้าเลย ! ขออนุญาติหยิบไม้เรียว แล้วฟาดให้ก้นลาย !
เริ่มเสียแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้เลยครับ อย่าให้พิโรธ !!
หนึ่งในกลยุทธ์สุดแสนคลาสสิค นั่นคือการจัดโปรโมชั่น ครับ
ส่วนตัวผมแล้ว ผมค่อนจะหลีกเลี่ยงกลยุทธ์นี้ครับ เพราะดูเป็นการหั่นกำไรของตัวเองลง และอาจจะส่งผลเสียต่อแบรนด์ในระยะยาว แต่ในเคสที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีเช่นนี้ ผมกลับมองว่า เป็นข้อยกเว้นครับ
การกอดสต็อกสินค้าไว้ แล้วขายไม่ได้ สู้ว่าขายของเอาเงินสดเข้ามาสำรองไว้ก่อนดีกว่า ถือโอกาสเป็นการระบายของออก ลดจำนวนสต็อกลงให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยง
อาจะเป็นการลดราคา หรือ การมัดรวมสินค้าเข้าด้วยกัน ซื้อ 2 แถม 1 , ซื้อตัวนั้น แถมตัวนี้ , ส่งสินค้าฟรี , ฯลฯ
กลยุทธ์อันนี้ อาจจะใช้ร่วมกับกลยุทธ์ที่ 1 ครับ คือเน้นขายไปที่กลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยซื้อสินค้าเราอยู่แล้ว เพราะ โอกาสที่ลูกค้าเก่าจะซื้อสินค้า มีสูงกว่า การวิ่งไปหาลูกค้าใหม่ๆ ค่อนข้างมากครับ
อันนี้ขอพูดเผื่อไว้ในเคส พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ ที่กำลังเตรียมตัวกระโดดเข้าวงการขายของออนไลน์ในยามเศรษฐกิจขาลง
ผมโดนคำถามบ่อยมาก ว่าอยากจะขายของออนไลน์ ขายอะไรดี ? ขายครีม ขายเสื้อผ้า ขายกระเป๋า ?? แต่จริงๆ คำถามที่ดีกว่ามากๆคือ จะขายของออนไลน์ให้กับใครครับ ?
ถ้าเราสามารถระบุตัวตนที่ชัดเจน และ สามารถรู้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา อาศัยอยู่ที่ไหนบน Internet โอกาสที่ประสบความสำเร็จในขายของจะมีมากกว่า
ลองแอบเข้าไปดูใน Community หรือ Facebook Group ที่มีคนอยู่เยอะๆ ลองดูที่พวกเค้าพูดคุยกัน แล้วลองคิดดูว่าควรจะหาสินค้าอะไรไปขายพวกเค้าดี
มีเคสตัวอย่างของรุ่นน้องคนหนึ่งครับ เค้ายอมรับอย่างลูกผู้ชาย ว่าเค้าเป็นเกย์ ! ซึ่งตัวเค้าเองก็แอบสถิตอยู่ใน Group Online ของบรรดาชาวเกย์ด้วยกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เค้าไปพบปัญหาใหญ่ที่บรรดาชาวเกย์กลุ้มอกกลุ้มใจกัน นั่นก็คือ ชาวเกย์ส่วนใหญ่มีก้นดำ และอยากจะมีก้นขาวใสครับ !
รุ่นน้องผมคนนี้ล้ำมาก เลยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เป็นครีมทาแก้ก้นดำ !
แทนที่จะไปทำครีมทาหน้า ขาวใส ที่คู่แข่งมีมากมายเป็นร้อยเป็นพัน แต่ทำเป็นครีมทา แก้ก้นดำ แทน โดยขายแค่ Group Online ของบรรดาชาวเกย์ เพียงแค่นี้
รุ่นน้องผมบอกแค่สั้นๆครับ “ผลิตไม่ทัน”
สำหรับคนที่มีสินค้าอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็อาจจะลองประยุกต์ใช้กลยุทธ์อันนี้ได้ครับ ลองสอดส่องมองหา Online Group ว่ามี Group ไหนบ้าง ที่น่าจะมีกลุ่มลูกค้าของเราอาศัยอยู่ และ ลองเข้าไปนำเสนอสินค้าดู ( ถ้าเค้าอนุญาติน่ะ )
ที่กล่าวมาทั้ง 3 กลยุทธ์ ถือเป็นกลยุทธ์ง่ายๆครับ ทุกคนน่าจะพอนำไปประยุกต์และปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้
โซวบักท้ง ขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนฟันฝ่า วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้นะครับ
ผมได้ยินเสียงบ่น เรื่องระบบการศึกษาไทย มาเป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่ตอนเป็นวัยจ๊าบ ที่ใจร้อน ฝุดฟิต หงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะเรียนสิ่งนี้ไปทำไม .. จนถึงตอนนี้ เข้าใจแล้วว่า ที่ผ่านมา ..
ช่วงนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น มีบริษัท Start Up หลายบริษัทเข้ามาปรึกษาหลายบริษัทด้วยกัน
YDM Thailand ใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีสุดในการใช้งานเว็บไซต์แก่คุณ หากคุณดำเนินการต่อ หรือปิดข้อความนี้ลง เราถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว