หัวข้อการตลาดด้านการโฆษณาในจีนถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในงาน New York Advertising Week ในปี้นี้เป็นปีแรก หลังจากที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อนในปีที่ผ่านๆมา และเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากคนทั่วโลกที่มาร่วมงาน ทำให้งาน Advertising Week ปีนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าปีก่อนๆเพราะ แสดงให้เห็นว่านักการตลาดระดับโลกเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดจีน ด้วยขนาดของตลาดจีนที่ใหญ่ มีคนเยอะ จึงมักถูกมองว่าโอกาสก็มีมากตามไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เรารับรู้และเห็นด้วย กันมาตลอด แต่การจะเข้าไปทำการตลาดจีนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ค่อนข้างละเอียด และซับซ้อน จึงทำให้แม้แต่นักการตลาดต่างชาติเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ดีพอ โดยเนื้อหาสำคัญๆที่น่าสนใจและถูกพูดถึงในงานพอจะสรุปได้ดังนี้

1. คนจีนมีความครีเอทีฟมากกว่าที่คุณคิด

นอกจากความยิ่งใหญ่ของตลาดจีนที่ทุกคนรับรู้อยู่แล้วนั้น ในงานนักการตลาดได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้คนทั่วโลกมองเห็นถึงสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า นั่นคือการทำการตลาดที่แปลกใหม่ของชาวจีน โดยในงานมีการเปิดวีดีโอให้ชมซึ่งเป็นวีดีโอที่พูดถึงเกี่ยวกับ พระราชวังต้องห้าม โดยนำเสนอผ่านตัวละครซึ่งเป็นดาราชาวจีนคนนึง พาเดินทางย้อนเวลาไปยังพระราชวังต้องห้าม และนำเสนอมุมมองที่ว่า หากพระราชวังต้องห้ามในสมัยโบราณกาลนั้น มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ซึ่งในการโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความครีเอทีฟ และการเปิดกว้างมากขึ้นในการทำตลาดโฆษณาของชาวจีนจากที่เคยถูกคนต่างประเทศมองว่าจีนนั้นเป็นคนเชยๆ หรือไม่ทันสมัย

ตัวอย่าง 1 http://www.360doc.com/content/16/0718/18/19519242_576582641.shtml
ตัวอย่าง 2 http://www.epub360.com/v2/manage/book/kbf031/present/

2. ทิศทางเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน

ในปัจจุบันทั้งในอเมริกา และ จีนเองก็มีลักษณะการทำการตลาดไปในทิศทางเดียวกันคือ Performance Marketing นั้นก็คือการตลาดที่พูดถึงเรื่องของผลลัพธ์ การเอาสถิติต่างๆเป็นตัวชี้วัด แต่ในทางปฏิบัตินั้นประเทศจีนนั้นมีความละเอียดอ่อนและแตกต่างกันกับอเมริกาอยู่มาก ยกตัวอย่างกรณีที่ทางบริษัท Apple ได้ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมาว่าเบราว์เซอร์ Safari จะมีการลบคุ๊กกี้(ข้อมูลในการเข้าเว็บต่างๆ) ทุกๆ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮือฮา และ เกิดผลกระทบเป็นอย่างมากต่อระบบการโฆษณา (เช่นการ Re-Targeting) มีสมาคมการโฆษณาในอเมริกาออกมาคัดค้านและต่อต้านอย่างหนัก แต่ว่าทางด้านประเทศจีนนั้นกลับแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย เนื่องจากว่าคนจีนใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือกันเป็นส่วนมาก ซึ่งการลบคุ๊กกี้ของทางบริษัท Apple นั้นมีผลกระต่อคอมพิวเตอร์ PC ซะเป็นส่วนใหญ่

อีกตัวอย่างนึงก็คือเรื่อง QR Code ทั้งที่ทางยุโรปและอเมริกามีการริเริ่มในการใช้งานก่อน แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่กลับกันในประเทศจีนนั้นเป็นที่นิยมอย่างล้นหลามจนกลายเป็นส่วนนึงของการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้วสำหรับการสแกนคิวอาร์โค้ด

3. คิดต่างกันได้แต่ต้องเข้าใจ

บางครั้งแบรนด์สากลที่มีการเข้ามาทำตลาดในประเทศจีนก็มักจะไม่เข้าใจเรื่องของวัฒนธรรม และความคิดของชาวจีนดีพอ ยกตัวอย่างเช่นรายการประกวดการแข่งขันร้องเพลง The Voice China ที่ไม่มีแบรนด์สากลเข้ามาขอเป็นสปอนเซอร์เลย เพราะอาจจะคิดว่าไม่น่าจะเป็นที่นิยมมากนัก จึงมีแต่สปอนเซอร์ที่เป็นแบรนด์จีนต่างๆที่เข้ามา แต่สุดท้ายปรากฎว่ารายการเป็นที่นิยม และ มีแฟนรายการเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคย และความเข้าใจเป็นอย่างดี ถึงเรื่องความรู้สึกและความต้องการของชาวจีน

อีกตัวอย่างนึงคือ สินค้าประเภทอุปโภคที่ใช้ส่วนตัว เช่น ยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน ที่แทบทุกประเทศจะถูกแบรนด์สากลชื่อดังเข้ามาครองตลาดเกือบทั้งหมด แต่ประเทศจีนกลับไม่ใช่ เพราะ สินค้าที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นของจีนเองก็ยังคงได้รับความนิยมสูง และกินส่วนแบ่งในตลาดอยู่มาก เหตุผลเพราะ แบรนด์สากลต่างๆอาจจะยังปรับตัวได้ไม่ว่องไว และไม่เข้าใจเรื่องของความละเอียดอ่อนในการทำการตลาดจีนได้ดีพอ จึงทำให้แบรนด์สากลเหล่านั้นไม่สามารถทำตลาดจีนได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ แต่ก็มีแบรนด์สากลชื่อดังที่เคยทำได้ดี อย่างเช่น McDonald ที่ขยายเวลาเปิดร้านให้นานขึ้นถึงเที่ยงคืนในช่วงใกล้สอบของนักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะทาง McDonald ศึกษาและเข้าใจชาวจีนเป็นอย่างดีว่าช่วงใกล้สอบ นักศึกษาจะอ่านหนังสือกันหนักมาก จึงตั้งแคมเปญนี้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจนักศึกษา ท้ายที่สุดแคมเปญนี้ก็ได้รับกระแสตอบรับดีอย่างล้นหลาม